ประวัติคุณหมอสมหมาย

คุณหมอสมหมาย-ทองประเสริฐ

เรื่องราวในอดีต

ผมเป็นคนสิงห์บุรีโดยกำเนิด เกิดเมื่อวันที่ 27 ธันวาคม พ.ศ. 2464 ปัจจุบันอายุ 90 ปีแล้ว คุณพ่อคุณแม่มีบุตรธิดารวม 7 คน โดยผมเป็นคนที่ 5 คุณพ่อคือนายกิมซิด คุณแม่นางพิมเสน ทองประเสริฐ พี่ชายคนโตของผม ชื่อศาสตราจารย์พันตรีนายแพทย์ประจักษ์ ทองประเสริฐ เป็นอดีตผู้อำนวยการโรงพยาบาลศิริราช พี่ชายคนที่สองชื่อนายหงวน ทองประสริฐ เป็นลูกศิษย์ท่านปรีดี พนมยงค์ พี่สาวคนที่สามและที่สี่แต่งงานเป็นแม่บ้าน ส่วนผมซึ่งเป็นบุตรคนที่ห้า เข้ามาเรียนในกรุงเทพฯ ตั้งแต่เด็ก พ.ศ.2471 ที่โรงเรียนประจำเซนต์ปีเตอร์ ซึ่งอยู่ตรงตึกซิงเกอร์ สี่-พระยาในปัจจุบัน น้องสาวคนที่หกยังมีชีวิตอยู่ส่วนน้องชายคนที่เจ็ดเป็นนายทหาร จบการศึกษาจากโรงเรียนวชิราวุธ ปัจจุบันมีพี่น้องที่ยังมีชีวิตอยู่เพียงสามคน คือพี่สาวคนที่สามอายุ 95 ปี ผมอายุ 90 ปีและน้องสาวอายุ 84 ปีนอกนั้นเสียชีวิตหมดแล้ว

ในวัยของการศึกษา

ครอบครัวของผมสนับสนุนการศึกษาเฉพาะผู้ชายส่วนลูกผู้หญิงไม่ส่งเสียให้เล่าเรียน พี่ชายของผมนับว่าได้เป็นชาวสิงห์บุรีคนแรกที่เข้ามาเรียนในกรุงเทพฯ ได้ทุนของร็อกกี้ เฟลเรอร์ ไปเรียนต่อที่ยอห์นฮอสปิตัส ประเทศอเมริกา ส่วนผมสำเร็จเภสัชศาสตร์บัณฑิตสมัยเด็กศึกษาที่ ร.ร.เซนต์ปีเตอร์ ในปี พ.ศ.2471 และจบ ม.5 ในปี พ.ศ.2478 สมัยที่ผมเรียนนั้น การศึกษายังมีระดับชั้น ม.8 อยู่ ไม่ได้มีเตรียมอุดมศึกษาเหมือนสมัยนี้ หลังจากจบชั้น ม.5 ร.ร. เซนต์ปีเตอร์ ก็มาศึกษาต่อที่ ร.ร.อำนวยศิลป์ ปากคลองตลาดจนจบ ม.8 ซึ่งเป็นรุ่นสุดท้าย หลังจากนั้นก็เปลี่ยนเป็นเตรียมอุดมซึ่งคุณชอุ่ม ปัญจพรรค์ เป็นนักเรียนเตรียมอุดมหมายเลข 1

จิตใต้สำนึก “ชีวิตคือ  ธรรมชาติ”

อีกประการหนึ่ง ผมมีจิตสำนึกอยู่เสมอว่าในโลกนี้ธรรมชาติทำให้เกิดโลก แล้วธรรมชาติต้องมียาแก้โรคให้ด้วย เช่น การใช้ซิงโคน่า(Cinchona) ในโรคมาเลเรีย ใบดิจิตาลีส (Digitalis) ในโรคหัวใจในสัตว์ เช่น แมว สุนัข ไม่สบายก็จะไปเที่ยวหาต้นหญ้ากิน พออาเจียนแล้วก็หาย นั่นคือการทำให้มีความสมดุลทางธรรมชาติ แต่มนุษย์เราโดยเฉพาะการแพทย์ทางตะวันตกไม่ค่อยคิดเรื่องนี้ พยายามค้นคว้าไปทางเคมีเป็นส่วนมาก

ผมเข้าศึกษาต่อที่คณะเภสัชศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัยโดยมีพี่ชายเป็นคนส่งเสียให้เล่าเรียน ผมสำเร็จคณะเภสัชศาสตร์ได้เหรียญทองและเป็นอาจารย์ที่เภสัชศาสตร์จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย ตามกฎได้ 1 ปี ก็ออกมาศึกษาแพทย์ต่อที่ศิริราช สมัยนั้นหากจะเรียนแพทย์ต้องเรียนที่ศิริราชแห่งเดียวเท่านั้น ที่อื่นยังไม่มีการเรียนการสอน ในคณะเรียนผมก็ใช้ความรู้ทางเภสัชฯ ไปทำงานร้านขายยา เพื่อส่งเสียตัวเองเรียนแพทย์จนกระทั่งผมจบการศึกษาในปี พ.ศ.2494 ที่จริงแล้ว ผมคุ้นเคยกับโรงพยาบาลศิริราชมาตั้งแต่เด็กเนื่องจากตอนอายุเพียง 7-8 ปี เวลาเปิดเทอมผมก็จะมาอยู่กับพี่ชายที่ศิริราช ส่วนมากจะไปอยู่กับพวกพี่ๆพยาบาล เพราะพี่ชายต้องทำงาน สมัยเมื่อ พ.ศ.2471 นั้น ศิริราชยังเป็นป่าอยู่เลยมีตึกเพียง 5 ตึก มีโรงกระโจมใช้ผ้าขึงเป็นห้องผ่าตัด

สมัยเมื่อผมเรียนแพทย์ศิริราชอยู่ปี 3 ปี 4 จนกระทั่งสำเร็จการศึกษา และทำงานเป็นแพทย์ประจำบ้านแผนกศัลยกรรมอยู่ที่ศิริราชนั้นผมสนใจเรื่องการศึกษามะเร็งมากเพราะการศึกษาโรคอื่นๆ ทางศัยลกรรมสามารถหายได้ง่าย แต่การดูแลผู้ป่วยมะเร็งนั้นยากมาก ไม่ว่าจะเป็นการผ่าตัดหรือฉายรังสีก็ดี

เนื่องจากผมสำเร็จเภสัชศาสตร์บัณฑิตก่อนมาเรียนแพทย์ ผมจึงมีความคิดว่าน่าจะค้นคว้าหาสมุนไพรมาช่วยในโรคมะเร็งได้บ้าง แต่ในขณะนั้นผมเป็นลูกน้องไม่สามารถที่พูดเสนอความคิดได้

เมื่อสำเร็จการศึกษาจากศิริราช แล้วด้วยความที่เป็นคนชอบทดลอง ผมมาอยู่สถานเสาวภา 1 ปี ก็อยากทดลองเรื่องวัคซีนกับเซรุ่มสำหรับโรคพิษสุนัขบ้า พอครบปีก็กลับมาเป็นศัลยแพทย์ที่ศิริราช เป็นศัลยแพทย์ได้สองปี สมัยนั้นไม่มีตำแหน่งให้ต้องเป็นลูกจ้าง ผมเป็นลูกจ้างรับเงินเดือน เดือนละ 700 บาท  (สมัยนั้นทองบาทละ 60บาท)

หลังจากจบการศึกษาแพทย์

หลังจากจบการศึกษา ผมตั้งใจว่าจะกลับไปอยู่สิงห์บุรีเพราะแม่ของผมอยู่ที่นั้นตามลำพัง แม่ก็อายุมากแล้วไม่มีใครคอยดูแล เนื่องจากพ่อเสียชีวิตตั้งแต่ปี พ.ศ.2478 ดังนั้นเมื่อผมทำงานที่ศิริราชครบ 2 ปี อีกทั้งตัวเองอยากได้ตำแหน่งประจำเพราะสมัยนั้นหาตำแหน่งประจำอยากเหลือเกิน มีตำแหน่งประจำก็เป็นแผนกกระดูกซึ่งผมไม่ต้องการ

วันหนึ่งขณะผมเดินทางกลับจากศิริราช ผมได้พบกับรุ่นพี่ที่ท่าน้ำ ชื่อหมออุทัย ศรีอรุณ (ภายหลังได้รับตำแหน่งพลตำรวจโทและเป็นจเรตำรวจ) เขาถามว่าผมจะไปไหน ผมก็บอกว่าผมจะกลับไปเอาตำแหน่งหมอกระดูกที่ศิริราช เขาจึงออกปากว่าอยากให้ผมไปช่วยที่โรงพยาบาลตำรวจ ถ้าวันนั้นผมกลับไปเป็นหมอกระดูกที่ศิริราช ผมคงเกษียณอายุแค่ 60 ปี ไม่ได้มาเป็นหมอสมุนไพรในปัจจุบันนี้

ผู้เริ่มต้นโรงพยาบาลตำรวจ

เมื่อไปถึงโรงพยาบาลตำรวจ ผมจึงได้พบว่าที่นั้นไม่มีความพร้อมอะไรเลย ผมต้องจัดเตรียมบรรดาเครื่องไม้ เครื่องมือ จนสามารถผ่าตัดคนไข้ได้เอง สมัยนั้นโรงพยาบาลตำรวจเป็นเพียงโรงพยาบาลในแผนกตำรวจ ผมทำงานจนกระทั้งได้ติดยศเป็นร้อยตำรวจเอกก็ได้ทราบข่าวว่าสิงห์บุรี กำลังสร้างโรงพยาบาล ผมจึงบอกหัวหน้าแผนกว่าจะขอย้ายไปโรงพยาบาลสิงห์บุรี หากโรงพยาบาลสิงห์บุรีสร้างเสร็จ หัวหน้าผมไม่อนุญาต ท่านบอกว่า “ลื้อมาอยู่ที่นี่ไม่กี่เดือน สร้างความเจริญให้กับโรงพยาบาลตำรวจ ได้ผ่าตัดได้ ทำอะไรมากมาย ไม่อนุญาตให้ไปหรอก” เมื่อเหตุการณ์เป็นเช่นนั้น แต่ความต้องการที่จะอยากกลับไปทำงานที่โรงพยาบาลบ้านเกิดมากกว่าในเดือนธันวาคมของปีนั้นผมจึงเขียนจดหมายลาออกทิ้งไว้แล้วจากไปอยู่ที่สิงห์บุรีโดยไม่ได้ร่ำลาผู้ใด

ค้นพบสมุนไพรบำรุงน้ำเหลือง

ในปีพ.ศ.2498 ผมรับราชการเป็นนายแพทย์ ผู้อำนวยการโรงพยาบาลสิงห์บุรี ผมได้เป็นหัวหน้าและในขณะเดียวกันผมก็มีความเป็นตัวของตัวเอง ผมได้เริ่มเสาะหายาสมุนไพรที่จะมาช่วยในเรื่องบำรุงน้ำเหลือง ขณะนั้นคนกำลังฮือฮาในการใช้ต้นทองพันชั่งช่วยในการบำรุงน้ำเหลือง ผมก็ปลูกต้นทองพันชั่งไว้เป็นจำนวนมาก เมื่อมีคนไข้ที่น้ำเหลืองเสียมา ผมก็ลองใช้ทองพันชั่งต้มให้คนไข้กิน แต่เมื่อมาดูผลลัพธ์กลับพบว่ามันไม่ได้ผลทุกครั้งที่ผมตรวจคนไข้ OPD (ผู้ป่วยนอก) ผมก็พยายามถามถึงเรื่องตำรายาสมุนไพรบำรุงน้ำเหลืองจากคนไข้และญาติเพื่อทดลองใช้แต่ที่ผ่านมาก็ยังไม่ได้ผลสักที

ปกติในวันเสาร์–อาทิตย์นั้น ยังไม่มีคนไข้มากเท่าอย่างในปัจจุบัน ในปี พ.ศ.2508 บังเอิญผมขับรถไปเที่ยวป่าในวัน เสาร์–อาทิตย์ ที่อำเภอวิเชียรบุรี จังหวัดเพชรบูรณ์ เพื่อเสาะหาปุ่มของต้นไม้ชนิดต่างๆ เพราะชอบสะสมปุ่มไม้

วันหนึ่งผมขับรถไปยังอำเภอวิเชียรบุรี ไปที่บ้านชาวไร่คนหนึ่ง เพราะทราบว่าชาวบ้านคนนี้มีปุ่มไม้ใหญ่ และผมก็ได้พบกับปุ่มไม้จริงๆ พร้อมกันนั้น ผมได้พบกับเจ้าของบ้านนั่งหายใจหอบเหนื่อยอยู่ในบ้านและบังเอิญเป็นผู้ที่เคยรู้จักกัน ผมจึงได้สอบประวัติได้ความว่ามีอาการไอ เหนื่อยหอบ จึงได้ไปตรวจที่โรงพยาบาลลพบุรี แพทย์ได้ทำการเอกซเรย์ปอดแล้วบอกว่ามีน้ำท่วมปอด แพทย์เจาะน้ำออกจากปอดและเจาะชิ้นเนื้อเยื้อส่งตรวจที่กรุงเทพฯ ผลการตรวจสรุปออกมาว่าเป็นมะเร็งปอดและน้ำท่วมปอด แพทย์ลพบุรีจะส่งคนไข้ไปที่โรงพยาบาลศิริราช แต่ผู้ป่วยไม่ยอมไปด้วยเหตุเพราะใกล้ๆ บ้านผู้ป่วยมีแพทย์แผนโบราณที่ใช้สมุนไพรเป็นหลัก ผมได้ลองตรวจสอบดูพบว่ามีน้ำท่วมปอดจริง ผู้ป่วยไม่สามารถนอนได้ ต้องใช้การนั่งพิงแทน จากนั้นผมก็ลาคนไข้กลับและไม่ได้สนใจคนไข้คนนี้อีก 8 เดือนต่อมาผมได้กลับมาที่บ้านผู้ป่วยคนเดิม ตอนนั้นคิดว่าผู้ป่วยได้เสียชีวิตแล้ว ตั้งใจจะไปซื้อปุ่มไม้ที่ตั้งอยู่ในบ้านผู้ป่วย จากภรรยาผู้ป่วย แต่แทนที่จะพบผู้ป่วยเสียชีวิต กลับพบว่าผู้ป่วยมีชีวิตอยู่และเดินเหินได้ปกติ

กรณีนี้ทำให้ผมสนใจมากและได้เดินทางไปยังโรงพยาบาลลพบุรี เมื่อพบแพทย์ที่ดูแลผู้ป่วยรายนี้และขอดูหลักฐานรายงานและผลเอ็กซเรย์ของผู้ป่วยแต่แพทย์หาให้ไม่ได้ ผมจึงคิดว่าผู้ป่วยรายนี้ไม่น่าจะเป็นมะเร็งปอดและแพทย์คงตรวจผิด ผมจึงไม่ได้สนใจยาสมุนไพรตำหรับนี้

ต่อมาปี พ.ศ.2512 มีพ่อค้าคนหนึ่งที่เคยอยู่ตลาดสิงห์บุรี แล้วได้ย้ายไปทำมาหากินที่กรุงเทพ ได้กลับมาอยู่ที่สิงห์บุรีผมทราบข่าวว่าเขาเป็นมะเร็งและเป็นมากแล้ว จึงเดินทางไปเยี่ยมพบว่าผู้ป่วยผ่ายผอมไปมาก ที่ลิ้นมีแผลเต็มไปหมด มีเลือดซึมตลอด กลิ่นเหม็น หุบปากไม่ได้ มีก้อนน้ำเหลืองใต้คางก้อนโตมากผู้ป่วยต้องใช้อ่างรูปไตรองใต้คาง ถามผู้ป่วยก็ทราบว่าเป็นมะเร็งที่ลิ้น ดูแลด้วยวิธีฉายแสงที่โรงพยาบาลรามา แต่อาการไม่ดีขึ้นแพทย์ให้กลับมาอยู่ที่บ้านบอกดูแลไม่ได้ให้ใช้ยาแก้ปวดเท่านั้น เมื่อผมเห็นเช่นนี้จึงนึกถึงสมุนไพรที่อำเภอวิเชียรบุรีจึงได้แนะนำให้ผู้ป่วยใช้ยาขนานนี้ดู ผู้ป่วยตอบตกลง ผมจึงไปขอสมุนไพรมาทั้งหมด 4 หม้อ โดยผมเป็นคนต้มยาให้คนไข้เองต้มจนเหลือ 1 ถ้วยแก้ว แล้วให้คนไข้หยดใส่ปากกินให้หมดใน 1 วันหม้อ ต้มกินได้ 15 วัน ผู้ป่วยกินแต่ยาสมุนไพร อาหารน้ำและยาแก้ปวด โดยไม่ใช้ยาอะไรเลย ทว่าอาหารของผู้ป่วยกลับดีวันดีคืน แผลที่ลิ้นค่อยๆยุบลง กลิ่นเหม็นก็น้อยลง ก้อนใต้คางก็ยุบลง น้ำหนักตัวเริ่มเพิ่มขึ้น อาการค่อยๆดีขึ้น และคนไข้เริ่มพูดได้ ผมจึงไปขอยาสมุนไพรมาอีก 4 หม้อ ให้ต้มรับประทานเหมือนเดิม อาการของคนไข้ก็ดีวันดีคืนขึ้นเรื่อยๆ พอครบ 4 เดือนลิ้นยุบลงมากจนแผลหายเหลือก้อนเท่าไข่นกกระทา ติดแน่นตรงใต้คาง ผมก็ไปขอยามาอีก 4 หม้อ ต้มให้กินทุกวันจนครบ 6 เดือนผู้ป่วยมีอาการเหมือนคนปกติ อ้วนขึ้น เดินไปตลาดได้ ผมแนะนำผู้ป่วยว่า ควรไปทำการผ่าตัดก้อนที่คางและแผลที่ลิ้นออกแต่ผู้ป่วยไม่ยอม บอกว่าเมื่อกินยุบแล้ว ขอกินยาต่อไปเรื่อยๆ ผมป่วยมีอาการดีอยู่ 6 เดือนแผลที่ลิ้นก็เริ่มบวมและแตก ในที่สุดผู้ป่วยก็ถึงแก่กรรม เพราะเลือดออกที่ลิ้นมาก

จากการติดตามผู้ป่วยรายนี้ด้วยตนเองทุกวัน จึงเห็นว่ายาสมุนไพรตำรับนี้มีประโยชน์ในการดูแลผู้ป่วย ผมจึงไปขอสูตรยาตำหรับนี้จากแพทย์แผนโบราณเท่านั้น แต่ท่านไม่ยอมให้เพราะท่านบอกว่าท่านเคยดูแลผู้ป่วยได้มาหลายรายแล้วแต่หมอแผลปัจจุบันไม่ยอมรับ

ได้รับการยอมรับจากสากล

ประมาณเดือนกันยายน–ตุลาคม พ.ศ.2517 มีเลกเซอร์ทัวร์ ของคณะออโธปิติกส์จากกรุงเทพ ไปประชุมที่นครสวรรค์ ผมเห็นเป็นโอกาสดีที่ได้นำเสนอเรื่องคนไข้มะเร็งที่หัวเข่า จังหวัดตราด ผมจึงไปประชุมด้วย พร้อมทั้งขอรายการเฉพาะคนที่เป็นมะเร็งหัวเข่าในที่ประชุม รวมทั้งแฟ้มของ โรงพยาบาลเลิดสินและของผม พร้อมทั้งขอร้องว่าถ้าพบคนไข้เช่นนี้ กรุณาอย่าตัดขา ให้ส่งให้ผมดูแลจะได้มีผลงานออกมามากๆ แต่ผมก็ไม่เคยได้คนไข้จากโรงพยาบาลเลย

เมื่อผมเห็นว่าทางการแพทย์ของเราไม่สนใจผลงานของผม ผมจึงเขียนจดหมายไปหาดอกเตอร์แชงค์ (Shank) ผู้ซึ่งเป็นไดเรกเตอร์ทอกซิโคโลยีของรัฐแคลิฟอเนีย (Director toxi Colifornia) ในเดือนพฤศจิกายน พ.ศ.2517 บอกว่าผมพบสมุนไพรหนึ่งตำรับ โดยให้คนไข้เป็นมะเร็งกินยาต้มเพียงอย่างเดียว มะเร็งก็สามารถยุบได้ ดอกเตอร์แชงค์ (Shank) ติดต่อผมมาทันที ว่าขอให้เตรียมคนไข้มะเร็งที่กินยาต้มแล้วยุบไว้ให้ดู พร้อมทั้งเอกซเรย์ รายงานและผลชิ้นเนื้อ

ต้นเดือนธันวาคม พ.ศ.2517 ดอกเตอร์แชงค์ (Shank) บินมาหาผมที่สิงห์บุรีพร้อมโปรเฟสเซอร์นิวเบิ์รน เพื่อนซึ่งเป็นปาโทโลยีสต์ (Pathologist) เมื่อผมรายงานคนไข้ที่เตรียมไว้พร้อมชิ้นเนื้อให้ดูดอกเตอร์แชงค์ (Shank) ก็ยอมรับว่ายาต้นตำรับนี้น่าจะเป็นประโยชน์ในการดูแลผู้ป่วย

ดอกเตอร์แชงค์ขอนำยาต้นตำรับนี้พร้อมตัวยาไปทำการค้นคว้าวิจัยที่อเมริกา แต่ผมไม่ยอม เพราะผมอยากให้เมืองไทย คนไทยมีชื่อเสียงในการค้นคว้าสมุนไพรบำรุงน้ำเหลือง เมื่อเป็นเช่นนี้ดอกเตอร์แชงค์ (Shank) ก็ให้ผมเลือกว่าจะทดลองมะเร็งชนิดใด ผมเสนอว่าขอทดลองกับมะเร็งเต้านมเพราะอวัยวะที่อยู่ภายนอกโตและเห็นง่าย

เมื่อดอกเตอร์แชงค์ (Shank) กลับไปอเมริกาแล้วก็ได้ส่งคาร์ซิโนเจน (Carsinogen) ชนิดที่ทำให้เกิดมะเร็งเต้านมในหนูนามานาน และผมก็ได้ร่วมทำการทดลองกับอาจารย์ท่านหนึ่งที่มหาวทยาลัยมหิดลโดยผมต้มยาชนิดที่ข้นจนเกือบเหนียวส่งไปให้ทดลองทุก 7 วัน ผลการทดลองก็มีเค้าให้เห็นว่ายาต้มนี้สามารถทำให้หนูที่เกิดมะเร็งเต้านมยุบได้ แต่ทำได้เพียง 3 ปี อาจารย์ท่านนี้ก็ไปเรียนปริญญาเอกต่อที่อเมริกา การทดลองจึงต้องยุติลงใน พ.ศ.2520 และอาจารย์ท่านนี้เมื่อกลับมาจากอเมริกาก็ไม่ได้สนใจที่จะทดลองยานี้ต่อ

พ.ศ.2518 ผมได้เลื่อนขึ้นเป็นนายแพทย์ใหญ่ คือ นายแพทย์สาธารณสุข ประจำจังหวัดสิงห์บุรีและจะลาออกจากราชการ เมื่อวันที่ 1 มกราคม พ.ศ.2521 ขณะนี้เป็นข้าราชการบำนาญกระทรวงสาธาณสุข การที่ลาออกก่อนเกษียณอายุราชการเพราะต้องการค้นคว้าและดูแลผู้ป่วยด้วยสมุนไพรเพียงอย่างเดียวโดยไม่ต้องมีภาระกับหน้าที่ราชการ

ประมาณ พ.ศ.2524 มีผู้หญิงมาหาผม 1 คน แนะนำตนว่าทำงานเกี่ยวกับการค้นคว้าโรคมะเร็งอยู่อเมริกา บินกลับมาเยี่ยมเมืองไทยและเป็นเพื่อนกับนายช่างชลประทาน ชื่อคุณจำรูญ เป็นโรคมะเร็งกระเพาะอาหารชนิด ซาโคมา (SARCOMA) ทำการผ่าตัดเรียบร้อยและแพทย์ผู้ผ่าตัดบอกว่าไม่สามารถหายได้ แต่พอกลับมา พ.ศ.2524 ได้ทราบว่าคุณจำรูญ ยังมีชีวิตอยู่และทำงานปกติ จึงทราบว่าคุณจำรูญรับประทานยาสมุนไพรของคุณหมอสมหมาย (คุณจำรูญมีชีวิตอยู่จนเกษียณราชการในตำแหน่งรองอธิบดีกรมชลประทาน)

ประมาณ พ.ศ.2526 มีผู้หญิงชาวบ้านมาหาผม บอกว่าขอให้ช่วยไปดูญาติผู้หญิงป่วยที่ ร.พ.สิงห์บุรี ผมก็ไปดูให้ พบว่าคนไข้นอนยกหัวสูง ไอ หอบ และท้องโตมาก หมอผู้ดูแลบอกว่าไม่มีทางหาย และอยู่ได้ไม่นาน ผมจึงไปขออนุญาตแพทย์เจ้าของคนไข้ เพื่อลองทำการดูแล แพทย์เจ้าของคนไข้ก็อนุญาต

วิธีดูแลคนไข้รายนี้

  1. เจาะน้ำในช่องปอด (elfusion) ออกใส่ Erdoxan ละลายน้ำกลั่นเข้าไป 2 ขวด

  2. เจาะน้ำในช่องท้อง (oscites)ออกจนหมด ใส่ Erdoxan 2 ขวด

  3. ให้พวกพลาสม่าและ smins said

  4. ให้รับประทานยาสมุนไพร

  5. ให้ 5 Fu 1000 mg

ทำการเจาะทั้งปอดและท้องอยู่ 5 ครั้ง ห่างกัน 7 วัน คนไข้ดีขึ้นเรื่อยๆ หมอเจ้าของไข้จึงอนุญาตให้กลับบ้าน ผมก็ให้กินยาสมุนไพรมาตลอด พร้อมทั้งแนะนำให้คนไข้ผ่าก้อนในท้องออกคนไข้ไม่ยอม บอกว่าหายดีแล้วจะผ่าทำไม ผมให้รับประทานจนครบ 5 ปี ผู้ป่วยก็หยุดกิน และไม่ติดต่อมา หลังจากคนไข้หยุดกินยาสมุนไพร 1 ปีญาติก็มาหาผมอีก บอกว่าคนไข้เริ่มมีอาการเหมือนเดิม ขณะนี้อยู่ ร.พ.รามาธิบดี ผมก็เขียนประวัติการดูแลให้ไป และผู้ป่วยรายนี้ก็ได้เสียชีวิตที่ ร.พ.รามา ด้วยเหตุนี้ผมเห็นว่าการใช้ยาเคมีร่วมกับสมุนไพรตำรับนี้สามารถช่วยยืดชีวิตคนไข้ไปได้อย่างดี

ต่อมามีคนไข้ผู้หญิงอายุประมาณ 60 ปี มาหาผมด้วยอาการท้องโตมาก ต้องนอนตะแคงซ้ายหรือขวา นั่งไม่ได้ ญาติบอกว่าไป ร.พ.ในกรุงเทพ แล้วหมอไม่รับ ผมจึงใช้วิธีเดียวกับคนแรก พอเจาะน้ำในช่องท้องออกหมด คลำได้ก้อนเล็กบ้างใหญ่บ้าง เป็นพวงอยู่ในช่องท้อง เมื่อเป็นเช่นนี้ผมก็ดูแลมาตลอด ก้อนในท้องยุบลงหมด ผมก็ให้รับประทานยาสมุนไพรตลอดครบ 2 ปี คนไข้ไม่ยอมกินยาต่อในที่สุดก็เป็นเหมือนเดิมและถึงแก่กรรม

จะเห็นได้ว่าอาการมะเร็งที่ทางโรงพยาบาลไม่รับแล้วเมื่อผมได้ทดลองทำการดูแลได้ผลค่อนข้างดี ผมก็ใช้วิธีนี้กับคนไข้ที่เป็นมะเร็ง (Soild Tumour) โดยการให้รับประทานยาสมุนไพรควบไปด้วยทุกคน และเกือบทุกอวัยวะก็ได้ผลดีในคนไข้ทีเป็นมะเร็งไม่มากนักต่อจากนั้น ก็ได้เริ่มการค้นคว้าเป็นทางการที่ศิริราช ม.มหิดล โดยอาจารย์แพทย์หญิงกาญจนา เกษสะอาด เป็นผู้ควบคุมการทดลองอยู่ 8 ปี ได้ให้ปริญญาโทแก่นักศึกษาที่ทำการค้นคว้าพบว่าสมุนไพรตำรับนี้สามารถกระตุ้นร่างกาย ให้มีภูมิต้านทานต่อมะเร็งได้โดยยานี้ไปกระตุ้น Activity ของ Macropphage cell T.Lymphocy,Natural Killer cell ในร่างกายของคนเรา เมื่อแพทย์หญิงกาญจนา เกษสะอาด เกษียณก็ไม่มีแพทย์ผู้ใดสนใจที่ทำการค้นคว้าต่อไปอีก

หมายเหตุ: ผลลัพธ์อาจเปลี่ยนแปลงไปแล้วแต่บุคคล